เปรียบเทียบการใช้ทรัพยากร ระหว่างผ้าโพลีเอสเตอร์กับผ้าเส้นใยธรรมชาติ

ผ้าโพลีเอสเตอร์ เป็นผ้าจากเส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตมาจากโพลิเมอร์ที่เรียกว่า พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) โดยผ้าโพลีเอสเตอร์เป็นผ้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ด้วยความยืดหยุ่นที่สูง, มีความทนทาน, ยับยาก, คืนตัวและคงรูปเดิมได้ดี, สีของผ้าที่ซีดจางยากทำให้ดูสดเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา และยังมีราคาที่

ถูกกว่าผ้าชนิดอื่น ๆ ทำให้ผ้าโพลีเอสเตอร์ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในธุรกิจเครื่องนุ่งห่ม, เครื่องนอน, ผ้าขนหนู, ตุ๊กตา, ของใช้ภายในบ้าน, และอุปกรณ์กลางแจ้ง

  1.1 พลังงาน : กระบวนการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์จำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้พลังงานประมาณ 217 เมกะจูล โดยพลังงานจำนวนนี้เป็นพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์ตั้งแต่กระบวนการผลิตเส้นด้าย จนไปถึงกระบวนการผลิตออกมาเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์

  1.2 ปิโตรเลียม : ผ้าโพลีเอสเตอร์ผลิตจากพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตที่เป็นผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม โดยการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์จำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบประมาณ 1.53 กิโลกรัม โดยน้ำมันจำนวนนี้จะผ่านกระบวนการและแปรเปลี่ยนเป็นโพลิเมอร์เพื่อนำไปฉีดเป็นเส้นด้ายและผลิตเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ในที่สุด

  1.3 น้ำ : กระบวนการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์จำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้ทรัพยากรน้ำประมาณ 62 ลิตร โดยใช้ในกระบวนการซักล้าง, การย้อม, และการตกแต่งสำเร็จ

  1.4 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : กระบวนการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์จำนวน 1 กิโลกรัม จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 21 กิโลกรัม

ผ้าฝ้าย เป็นผ้าจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้มาจากปุยฝ้าย หรือเส้นใยจากเมล็ดของต้นฝ้าย โดยเส้นใยชนิดนี้สามารถนำไปผลิตเป็นสิ่งทอที่หลากหลาย เช่น เครื่องนุ่งห่ม, ผ้าปูที่นอน, ผ้าขนหนู เป็นต้น ผ้าฝ้ายมีจุดเด่นในเรื่องของความนุ่ม, ระบายอากาศได้ดี, ดูดซับความชื้นได้ดี, ย้อมสีติดง่าย, และสามารถนำไปผสมกับเส้นใยชนิดอื่น ๆ เพื่อช่วยสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าสิ่งทอ

   2.1 พลังงาน : กระบวนการผลิตผ้าฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้พลังงานประมาณ 147 เมกะจูล โดยเป็นพลังงานที่ใช้ในการปลูกต้นฝ้าย, การผลิตเส้นใยฝ้าย, และการผลิตผ้าฝ้าย

   2.2 ดิน : การผลิตฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัม ต้องใช้พื้นที่ประมาณ 19.7 ตารางเมตรสำหรับปลูกต้นฝ้าย 

   2.3 น้ำ : น้ำมากกว่า 22,000 ลิตรจะถูกใช้สำหรับการผลิตฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัม ซึ่งเทียบได้กับเสื้อเชิ๊ตจำนวน 1 ตัว 

   2.4 ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง : กระบวนการผลิตผ้าฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัมจะต้องใช้ปุ๋ยประมาณ 457 กรัม และยาฆ่าแมลงประมาณ 16 กรัมในการปลูกและป้องกันต้นฝ้ายจากศัตรูพืช โดยการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงอาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมคุณภาพของดิน, การปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำ, และเป็นอันตรายต่อเกษตรกรหรือคนงานที่สัมผัสกับสารเคมีเหล่านี้

   2.5 คาร์บอนฟุตพริ้นท์ : กระบวนการผลิตผ้าฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัมจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรกาศประมาณ 27 กิโลกรัม 

ผ้าไหม เป็นผ้าจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้มาจากเส้นใยจากรังของหนอนไหม โดยเส้นใยไหมจะถูกเก็บรวบรวมจากรังของหนอนไหมและผ่านกระบวนการเพื่อผลิตเป็นเส้นด้ายเพื่อใช้ในงานสิ่งทอต่อไป โดยเส้นใยไหมมีจุดเด่นในเรื่องของความนุ่ม, แข็งแรงทนทาน, มีความมันวาว, มีสัมผัสที่หรูหรา, น้ำหนักเบา, และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำให้เส้นใยไหมเป็นวัตถุดิบยอดนิยมในการนำไปผลิตเป็นสินค้าเกรดพรีเมียม เช่น เครื่องนุ่งห่ม, เครื่องนอน, และอุปกรณ์ต่าง ๆ 

   3.1 พลังงาน : กระบวนการผลิตผ้าไหมจำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้พลังงานประมาณ 1,843 เมกะจูล โดยกระบวนการผลิตผ้าไหมจะใช้พลังงานมากกว่าผ้าชนิดอื่น โดยเฉพาะการใช้พลังงานในการทำความอบอุ่นให้กับหนอนไหมในช่วงวัยต่าง ๆ รวมไปถึงกระบวนการการสาวไหม, การลอกกาวไหม, และการตีเกลียวเส้นใยไหม

   3.2 น้ำ : กระบวนการผลิตผ้าไหมจำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้ทรัพยากรน้ำประมาณ 1,000 ลิตร โดยใช้ในการปลูกต้นมัลเบอร์รี่, การเลี้ยงหนอนไหม, การต้มรังไหม, การลอกกาวไหม, การย้อมสี, และการตกแต่งเส้นใย

   3.3 ดิน : การผลิตผ้าไหมจำนวน 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ใบหม่อนประมาณ 200 กิโลกรัมเพื่อเป็นอาหารของหนอนไหม ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกต้นหม่อนประมาณ 80 ตารางเมตร

   3.4 ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง : การผลิตผ้าไหมจำนวน 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ยาฆ่าแมลงประมาณ 0.04 กิโลกรัม และ ปุ๋ยประมาณ 3 กิโลกรัม เพื่อปลูกและป้องกันต้นหม่อนจากศัตรูพืช 

   3.5 คาร์บอนฟุตพริ้นท์ : กระบวนการผลิตผ้าฝ้ายจำนวน 1 กิโลกรัมจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรกาศประมาณ 25 กิโลกรัม 

ผ้าขนแกะ เป็นผ้าจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากขนของแกะ โดยเส้นใยชนิดนี้ถือเป็นหนึ่งในเส้นใยที่ใช้กันในธุรกิจสิ่งทอมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอภายในบ้าน โดยผ้าขนแกะจะมีจุดเด่นในเรื่องของความนุ่ม, ความทนทาน, และสามารถให้ความอบอุ่นได้ดี ทำให้ผ้าขนแกะได้รับความนิยมในการนำไปผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอภายในบ้าน เช่น เสื้อสูท, แจ็คเก็ต, เสื้อโค้ท, ผ้าห่ม, และพรม

   4.1 พลังงาน : กระบวนการผลิตผ้าขนแกะจำนวน 1 กิโลกรัม จะใช้พลังงานประมาณ 155 เมกะจูล โดยจะใช้ไปในขั้นตอนของการเลี้ยงดูแกะ, การตัดขนแกะ, และการเตรียมเส้นใยจนไปถึงการผลิตเป็นผ้าขนแกะ

   4.2 น้ำ : ค่าเฉลี่ยปริมาณของน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตผ้าขนแกะอยู่ที่ประมาณ 170,000 ลิตรต่อผ้าขนแกะ 1 กิโลกรัม กระบวนการผลิตผ้าขนแกะมีการใช้ทรัพยากรน้ำเป็นจำนวนมาก โดยจะใช้ไปในขั้นตอนการเลี้ยงดูแกะ, การล้างขนแกะดิบจนกว่าจะสะอาดเพื่อให้สามารถนำไปใช้ต่อในกระบวนการผลิตได้

   4.3 ดิน : ค่าเฉลี่ยของแกะ 1 ตัว สามารถผลิตขนแกะได้ประมาณ 3 กิโลกรัมต่อ 1 ปี ดังนั้น การผลิตขนแกะจำนวน 1 กิโลกรัม จะต้องใช้พื้นที่อย่างน้อยประมาณ 4,000 ตารางเมตร เพื่อทำเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงแกะ 1 ตัว การบุกเบิกพื้นที่สำหรับสร้างฟาร์มแกะ ถือเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นในประเทศออสเตรเลีย การบุกเบิกพื้นที่เพื่อทำฟาร์มแกะเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ป่าลดลง, ประชากรสัตว์ท้องถิ่นถูกแย่งถิ่นที่อยู่อาศัยและมีจำนวนประชากรลดลง, และทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ

    4.4 คาร์บอนฟุตพริ้นท์ : การผลิตผ้าขนแกะจำนวน 1 กิโลกรัม จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 46 กิโลกรัม

จากตาราง จะเห็นได้ว่ากระบวนการผลิตผ้าแต่ละชนิดจะมีการใช้ทรัพยากร และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยต่างกันไป โดยผ้าโพลีเอสเตอร์ที่แม้ว่าจะใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ แต่ก็มีอัตราการใช้ทรัพยากรชนิดอื่นๆ น้อยมากเมื่อเทียบกับผ้าที่ผลิตมาจากเส้นใยธรรมชาติ แต่เมื่อพิจารณาการใช้ทรัพยากรของผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ จะพบว่ามีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก 

ตัวอย่างเช่น ผ้าไหมที่ใช้พลังงานในกระบวนการผลิตถึง 1,843 เมกะจูล หรือผ้าฝ้ายและผ้าขนแกะที่ใช้น้ำในกระบวนการผลิตมากถึง 22,000 ลิตร และ 170,000 ลิตร

รวมไปถึงการใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ก็อาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมคุณภาพของดิน, สารเคมีจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลงที่ไหลปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ, การตัดไม้ทำลายป่าและการถูกแย่งถิ่นอยู่อาศัยของสัตว์ท้องถิ่น, และอื่นๆ